25 November 2002

คำอธิบายงบการเงินไตรมาสที่ 3

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บทวิเคราะห์ผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงิน ประจำไตรมาสที่3 ปี 2545 ผลการดำเนินงาน ภาพรวมการดำเนินงานประจำไตรมาสที่สามของปี 2545 ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่สามของปี 2545 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 346.3 ล้านบาท ( กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 3.46 บาท ต่อหุ้น ) เพิ่มขึ้น 57.1%จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ของบจ.เซ็นทรัลเพลย์แลนด์ บริษัทย่อย ที่บริษัทถือหุ้น 79% ซึ่งประกอบกิจการสวนน้ำสวนสนุกบริเวณชั้น 6 ของโครงการบางนาจำนวน 97.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทมีรายการ ภาษีมูลค่าเพิ่มของปี 2540-2543 ที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมในไตรมาสนี้อีกจำนวน 23.8 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการดังกล่าวทั้งสองรายการ กำไรสุทธิจากการดำเนินการจะเป็น 374.8 ล้านบาท สูงขึ้น 89.2 ล้านบาท หรือ 31.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจาก อัตราการให้เช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) และอัตราค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นในศูนย์การค้าเกือบทุกแห่ง รายได้ รายได้รวมของบริษัทและบริษัทย่อยสำหรับไตรมาสที่สามของปี 2545 มีจำนวน 887.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160.8 ล้านบาท หรือ 22% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6.7 ล้านบาท จากไตรมาสที่สองของปีเดียวกัน ปัจจัยหลักคือการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเช่า และค่าบริการของศูนย์การค้าทั้งในส่วนพื้นที่ค้าปลีกและส่วนที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง การเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเช่าสำหรับสัญญาที่ต่ออายุและค่า เช่าที่คิดเป็นเปอร์เซนต์ต่อยอดขาย และการรวมรายได้ของโครงการเซ็นทรัล ซิตี้ บางนา ซึ่งบริษัทได้ปรับปรุงแล้วเสร็จไปบางส่วนแล้ว ทั้งนี้ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 97% ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหาร ต้นทุน ต้นทุนของบริษัทและบริษัทย่อยสำหรับไตรมาสที่สามของปี 2545 มีต้นทุนรวมจำนวน 406.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบ กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการรวมต้นทุนของโครงการเซ็นทรัลซิตี้ บางนา และอัตราการใช้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นจาก อัตราการให้เช่าพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหาร บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารสำหรับไตรมาสที่สามของปีนี้จำนวน 109.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.5 ล้านบาท หรือ 35.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายการสำคัญเกิดจากรายการค่าใช้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของรายได้จาก พื้นที่ส่วนกลางจำนวน 23.8 ล้านบาท สำหรับปี 2540-2543 และเงินเดือนพนักงานที่รับใหม่สำหรับโครงการพระราม 2 อย่างไรก็ตาม ใน ไตรมาสที่ 4 บริษัทจะมีต้นทุนละค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นมากจากค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์การเปิดโครงการ พระราม 2 และค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาปกติที่จะดำเนินการในไตรมาสสุดท้ายของทุกปี ฐานะการเงิน สินทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 15,639.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2544 จำนวน 895.7 ล้านบาทหรือ 6% โดยสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเป็นสาระสำคัญคือ งานระหว่างก่อสร้างของโครงการพระราม2 โครงการ เชียงใหม่ เฟส 2 บี และ การปรับปรุงโครงการบางนา บริษัทมีระยะเวลาในการเก็บหนี้ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนโดยปัจจุบันมี ระยะเวลาในการเก็บหนี้เฉลี่ย 10 วัน หนี้สิน ณ สิ้นไตรมาสที่สามของปี 2545 บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวม 10,821.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2544 จำนวน 306.8 ล้าน บาท หรือเพิ่มขึ้น 3% จากการออกตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาโครงการพระราม 2 และเชียงใหม่ เฟส 2 บี ส่วนของผู้ถือหุ้น ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 589.0 ล้านบาทจากสิ้นปี 2544 เป็นผลจากเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน * ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมีมติในเรื่องทุนจดทะเบียนของบริษัทดังนี้ - อนุมัติลดทุนจดทะเบียนจำนวน 20,987,750 หุ้น หรือ 209,877,500 บาท ในส่วนที่สำรองสำหรับหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินตรา ต่างประเทศที่ไม่มีการแปลงสภาพ - อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 100,012,250 หุ้น เป็น 200,024,500 ล้านหุ้น โดยออกหุ้นสามัญจำนวน 100,012,250 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท รวม 1,000,122,500 บาท จัดสรรหุ้นสามัญให้ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งจำนวนในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมจะได้สิทธิซื้อ หุ้นใหม่ 1 หุ้น - อนุมัติการลดมูลค่าหุ้นของบริษัท โดยการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นจากเดิมมูลค่าหุ้นละ 10 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 5 บาท (การแตกมูลค่าหุ้น) โดยคาดว่าจะมีผลตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม พ.ศ.2546 การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน ณ สิ้นไตรมาสที่สามของปี 2545 สภาพคล่องของบริษัทจัดอยู่ในเกณฑ์ดี บริษัทมีเงินสด เงินฝากธนาคารและเงินลงทุนระยะสั้นที่ เทียบเท่ากับเงินสดเป็นจำนวนรวม 1,817.8 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2544 จำนวน 364.6 ล้านบาทหรือ 16.7% เนื่องจาก บริษัทมีการใช้เงินไปในกิจกรรมการลงทุนของโครงการบางนา และพระราม 2 อย่างไรก็ดีบริษัทก็ยังสามารถดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระ ดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถึงหุ้นยังคงรักษาระดับอยู่ที่ 0.7 โดยไม่เปลี่ยนแปลงไปจากไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของปีเดียวกัน บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น 28.7% สูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรา 21.1% เป็นผลจากการที่บริษัทมีความ สามารถในการทำกำไรสูงขึ้น ตารางสรุปอัตราส่วนทางการเงิน 31 ธ.ค.2544 30 ก.ย. 2544 30 ก.ย.2545 ความสามารถในการดำรงสภาพคล่อง สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน (เท่า) 1.32 0.95 0.81 ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (วัน) 13 16 10 ความสามารถในการทำกำไร อัตรากำไรขั้นต้น (%) 52.6 52.8 54.2 อัตรากำไรสุทธิ (%) 20.2 28.5 35.9 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (%) 14.9 21.1 28.7 ความมีประสิทธิผลของการใช้สินทรัพย์ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (%) 4.8 6.4 8.9 นโยบายทางการเงิน อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (เท่า) 6.9 5.3 4.7 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ/ส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า) 0.7 0.8 0.7 2